ree-blog-content.com/">Free Blog Content

ree-blog-content.com/">Free Blog Content

วันอังคารที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2556

เทคโนโลยี



ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับเทคโนโลยีสารสนเทศ



ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศ (Information Technology)
ความหมายของเทคโนโลยีสารสนเทศหมายถึง อุปกรณ์หรือเครื่องมือที่เกี่ยวข้องกับการรวบรวมประมวล เก็บรักษา และเผยแพร่ข้อมูลและสารสนเทศโดยรวมทั้งฮาร์ดแวร์ ซอฟต์แวร์ ฐานข้อมูล และการสื่อสาร โทรคมนาคม
 ความหมายของข้อมูลและสารสนเทศ
                ระบบสารสนเทศสร้างขึ้นมาเพื่อจุดมุ่งหมายหลายประการจุดมุ่งหมายพื้นฐานประการหนึ่ง คือ การประมวลข้อมูล (Data) ให้เป็นสารสนเทศ  (Information) และนำไปสู่ความรู้ (Knowledge) ที่ช่วยแก้ปัญหาในการดำเนินงาน
ความหมายของข้อมูล
                ข้อมูล คือ ข้อเท็จจริงเกี่ยวกับเหตุการณ์ หรือข้อมูลดิบที่ยังไม่ผ่านการประมวลผล ยังไม่มีความหมายในการนำไปใช้งาน ข้อมูลอาจเป็นตัวเลข ตัวอักษร สัญลักษณ์ รูปภาพ เสียง หรือภาพเคลื่อนไหว
ความหมายของสารสนเทศ
สารสนเทศ คือ ข้อมูลที่ได้ผ่านการประมวลผลหรือจัดระบบแล้ว เพื่อให้มีความหมายและคุณค่าสำหรับผู้ใช้
ลักษณะสารสนเทศที่ดี
เนื้อหา (Content)
*    ความสมบูรณ์ครอบคลุม (completeness)
*    ความสัมพันธ์กับเรื่อง (relevance)
*    ความถูกต้อง (accuracy)
*    ความเชื่อถือได้ (reliability)
*    การตรวจสอบได้ (verifiability)
 รูปแบบ (Format)
*    ชัดเจน (clarity)
*    ระดับรายละเอียด (level of detail)
*    รูปแบบการนำเสนอ (presentation)
*    สื่อการนำเสนอ (media)
*    ความยืดหยุ่น (flexibility)
*    ประหยัด (economy)
เวลา (Time)
*    ความรวดเร็วและทันใช้ (timely)
*    การปรับปรุงให้ทันสมัย (up-to-date)
*    มีระยะเวลา (time period)
กระบวนการ (Process)
*    ความสามารถในการเข้าถึง (accessibility)
*    การมีส่วนร่วม (participation)
*    การเชื่อมโยง (connectivity)
ความหมายของระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ (Management Information System)
ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการ คือ ระบบที่รวบรวม ประมวล เก็บรักษา และเผยแพร่สารสนเทศ เพื่อใช้ในหารวางแผน การพัฒนาตัดสินใจ ประสานงาน และควบคุมการดำเนินงาน
องค์ประกอบระบบสารสนเทศที่ใช้คอมพิวเตอร์
                ระบบสารสนเทศเพื่อการจัดการที่ใช้คอมพิวเตอร์ (Computer-based information systems CBIS) มีองค์ประกอบที่สำคัญ 5 ส่วนคือ ฮาร์ดแวร์ (hardware) ซอฟต์แวร์ (software) ฐานข้อมูล (database) เครือข่าย (network) กระบวนการ (procedure) และคน (people)
ฮาร์ดแวร์ (Hardware) ได้แก่ อุปกรณ์ที่ช่วยในการป้อนข้อมูล ประมวลจัดเก็บ และผลิต      เอาท์พุทออกมาในระบบสารสนเทศ
ซอฟต์แวร์ (Software) ได้แก่ โปรแกรมคอมพิวเตอร์ที่ช่วยให้ฮาร์ดแวร์ทำงาน
ฐานข้อมูล (Database) คือ การจัดระบบของแฟ้มข้อมูล ซึ่งเก็บข้อมูลที่เกี่ยวข้องกัน
เครือข่าย (Network) คือ การเชื่อมโยงคอมพิวเตอร์เข้าด้วยกันเพื่อช่วยให้มีการใช้ทรัพยากรร่วมกัน และช่วยการติดต่อสื่อสาร
กระบวนการ (Procedure) ได้แก่ นโยบาย กลยุทธ์ วิธีการ และกฎระเบียบต่างๆ ในการใช้ระบบสารสนเทศ
คน (People)  เป็นองค์ประกอบที่สำคัญที่สุดในระบบสารสนเทศ ซึ่งได้แก่ บุคคลที่เกี่ยวข้องในระบบสารสนเทศ เช่น ผู้ออกแบบ ผู้พัฒนาระบบ ผู้ดูแลระบบ และผู้ใช้ระบบ
ประโยชน์ของระบบสารสนเทศ
ประสิทธิภาพ (Efficiency)
* ระบบสารสนเทศทำให้การปฏิบัติงานมีความรวดเร็วมากขึ้น โดยใช้กระบวนการประมวลผลข้อมูลซึ่งจะทำให้สามารถเก็บรวบรวม ประมวลผลและปรับปรุงข้อมูลให้ทันสมัยได้อย่างรวดเร็วระบบสารสนเทศช่วยในการจัดเก็บข้อมูลที่มีขนาดใหญ่ หรือมีปริมาณมากและช่วยทำให้การเข้าถึงข้อมูล (access) เหล่านั้นมีความรวดเร็วด้วย

* ช่วยลดต้นทุน การที่ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การปฏิบัติงานที่เกี่ยวข้อง กับข้อมูลซึ่งมีปริมาณมากมีความสลับซับซ้อนให้ดำเนินการได้โดยเร็ว หรือการช่วยให้เกิดการติดต่อสื่อสารได้อย่างรวดเร็ว ทำให้เกิดการประหยัดต้นทุนการดำเนินการอย่างมาก

* ช่วยให้การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว การใช้เครือข่ายทางคอมพิวเตอร์ทำให้มีการติดต่อได้ทั่วโลกภายในเวลาที่รวดเร็ว ไม่ว่าจะเป็นการติดต่อระหว่างเครื่องคอมพิวเตอร์กับเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยกัน (machine to machine) หรือคนกับคน (human to human) หรือคนกับเครื่องคอมพิวเตอร์ (human to machine) และการติดต่อสื่อสารดังกล่าวจะทำให้ข้อมูลที่เป็นทั้งข้อความ เสียง ภาพนิ่ง และภาพเคลื่อนไหวสามารถส่งได้ทันที

* ระบบสารสนเทศช่วยทำให้การประสานงานระหว่างฝ่ายต่างๆ เป็นไปได้ด้วยดีโดยเฉพาะหาระบบสารสนเทศนั้นออกแบบเพื่อเอื้ออำนวยให้หน่วยงาน ทั้งภายในและภายนอกที่อยู่ในระบบของซัพพลายทั้งหมด จะทำให้ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งหมดสามารถใช้ข้อมูลร่วมกันได้ และทำให้การประสานงาน หรือการทำความเข้าใจเป็นไปได้ด้วยดียิ่งขึ้น               
 ประสิทธิผล (Effectiveness)
* ระบบสารสนเทศช่วยในการตัดสินใจ ระบบสารสนเทศที่ออกแบบสำหรับผู้บริหาร เช่น ระบบสารสนเทศที่ช่วยในการสนับสนุนการตัดสินใจ (Decision support systems) หรือระบบสารสนเทศสำหรับผู้บริหาร (Executive support systems) จะเอื้ออำนวยให้ผู้บริหารมีข้อมูลในการประกอบการตัดสินใจได้ดีขึ้น อันจะส่งผลให้การดำเนินงานสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ไว้ได้

* ระบบสารสนเทศช่วยในการเลือกผลิตสินค้า/ บริการที่เหมาะสมระบบสารสนเทศจะช่วยทำให้องค์การทราบถึงข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับต้นทุน ราคาในตลาดรูปแบบของสินค้า/บริการที่มีอยู่ หรือช่วยทำให้หน่วยงานสามารถเลือกผลิตสินค้า/บริการที่มีความเหมาะสมกับความเชี่ยวชาญ หรือทรัพยากรที่มีอยู่

* ระบบสารสนเทศช่วยปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/ บริการให้ดีขึ้นระบบสารสนเทศทำให้การติดต่อระหว่างหน่วยงานและลูกค้า สามารถทำได้โดยถูกต้องและรวดเร็วขึ้น ดังนั้นจึงช่วยให้หน่วยงานสามารถปรับปรุงคุณภาพของสินค้า/ บริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้นและรวดเร็วขึ้นด้วย   
          
* ความได้เปรียบในการแข่งขัน (Competitive Advantage)

* คุณภาพชีวิตการทำงาน (Quality o f Working Life)

ตกแต่งสีสัน

 เพิ่มสีสันให้ภาพถ่าย ด้วย Photoshop's Photo Filter
 
คงจะมีหลายครั้ง ที่เราไปเที่ยวแล้วได้ถ่ายรูปเก็บภาพวิวในบรรยากาศดี ๆ มา แต่พอมาลองดูในคอมที่บ้าน ภาพที่ได้กลับแลดูไม่สด ดูจืด ๆ ยังไงก็ไม่รู้ สรุปคือภาพมันดูไม่น่าสนใจ แสงสี ดูไม่ OK ... บทความนี้ช่วยเพื่อน ๆ ได้ ใครสนใจคลิกกันเข้ามาดูได้เลยค่ะ
   
  
   
บทความนี้ เราจะมาใช้โปรแกรม Photoshop ตกแต่งภาพ โดยจะเป็นการตกแต่งภาพให้ดูมีสีสันเพิ่มมากขึ้น วิธีการทำก็สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยใช้ Photo Filter ใชการช่วยปรับสี

ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม Photoshop ขึ้นมา แล้วเปิดภาพที่ต้องการจะตกแต่งเข้ามาในโปรแกรมเลยค่ะ ภาพที่ Webmaster จะเอามาตกแต่งก็ตามภาพแรกเลยค่ะ ดูสีมันไม่สมดุลย์ ดูสีจืด ๆ ว่าจะปรับสองส่วนคือส่วนที่เป็นท้องฟ้า กับส่วนที่เป็นทุ่งหญ้าให้ดูชัดขึ้น

ขอทำส่วนท้องฟ้าก่อนละกัน ว่าแล้วก็ Select ส่วนท้องฟ้ากันก่อนได้เลย ให้ได้ตามภาพในตำแหน่งที่ 1 (การ Select แล้วแต่ตามถนัด จะใช้ Magic Wand Tool หรือ Lasso Tool ก็ได้หรือใช้ผสม ๆ กันไป ตามสะดวกได้เลยค่ะ ขอแค่ให้ Select เป็นขอบเขตตามที่ต้องการได้เป็นพอ)

ขั้นตอนที่ 2 เมื่อ Select ได้ตามรูปตำแหน่งที่ 1 แล้ว ให้ใช้คำสั่ง Layer --> New Adjustment Layer --> Photo Filter (หรือจะกดปุ่มรูปวงกลมดำขาว บริเวณด้านล่างของพาร์เลต Layer แล้วเลือก Photo Filter ก็ได้เหมือนกัน) เมื่อใช้คำสั่งไปแล้วจะมีหน้าต่าง New Layer ปรากฏขึ้น ให้กดปุ่ม OK ไปได้เลย ก็จะปรากฏหน้าต่าง Photo Filter ขึ้นมาตามภาพในตำแหน่งที่ 2 ให้เลือกแบบ Filter เป็น Magenta และกำหนดค่า Density เท่ากัีบ 35% (เพราะอยากให้ท้องฟ้าออกแนวสีม่วง ๆ แกมชุมพูนิด ๆ) ปรับค่าต่าง ๆ ได้ตามภาพตำแหน่งที่ 2 แล้วก็กด OK ได้เลย

ถึงตอนนี้เมื่อเราสังเกตดูที่พาร์เลต Layer เราก็จะเห็นว่ามี Layer เพิ่มขึ้นมา 1 Layer ชื่อว่า Photo Filter 1 หน้าตาเลเยอร์ดูแปลกตาออกสีดำ ๆ ซึ่งเราเรียก Layer แบบนี้ว่า Layer Mask
  
   
ขั้นตอนที่ 3 ทีนี้ก็มาถึงขั้นตอนการเพิ่มสีในส่วนของทุ่งหญ้า วิธีการก็เหมือนแบบทำท้องฟ้่า คือต้อง Select พื้นที่ ๆ ต้องการเสียก่อน สามารถทำได้ง่าย ๆ โดยคลิกที่ Layer Background จากนั้น กดปุ่ม Ctrl ค้างไว้ แล้วนำเมาส์คลิกลงบท Layer ที่มีชื่อว่า Photo Filter 1 วิธีนี้เป็นการ Select ขอบเขตจากขอบเขตของ Layer Mask เมื่อเราได้ Select แล้วให้ใช้คำสั่ง Select --> Inverse ก็จะได้ Select พืนที่ส่วนที่เป็นทุ่งหญ้า ตามภาพในตำแหน่งที่ 3 (วิธีนี้ง่าย และสะดวกดี เพราะเราไม่ต้องมาเสียเวลา Select พื้นที่ทุ่งหญ้าเอง)
  
   
ขั้นตอนที่ 4 เมื่อ Select ได้ตามรูปตำแหน่งที่ 3 แล้ว ให้ใช้คำสั่ง Layer --> New Adjustment Layer --> Photo Filter (วิธีการก็เหมือนการเริ่มต้นทำขั้นตอนที่ 2) แล้วหน้าต่าง Photo Filter ก็จะปรากฏมาตามภาพในตำแหน่งที่ 4 ให้เลือกแบบ Filter เป็น Warming Filter (85) และกำหนดค่า Density เท่ากัีบ 85% เมื่อปรับค่าต่าง ๆ ได้ตามภาพตำแหน่งที่ 4 แล้วก็กด OK ได้เลยค่ะ
  
   
ขั้นตอนที่ 5 เมื่อทำขั้นตอนที่ 4 เสร็จแล้วเราจะเห็นว่าตรงบริเวณที่เป็นน้ำสีมันผิดไป (ก็เพราะเราเลือกทุ่งหญ้ารวมทั้งน้ำด้วย เพราะอยากเอาสะดวก ไม่อยาก Select เฉพาะภาพพื้นหญ้า) วิธีแก้ก็คือต้องมาลบ Mask ในส่วนบริเวณน้ำออกไป วิธีทำก็คือ อย่างแรกเลยก็เลือก Brush Tool แล้วปรับขนาดหัว Brush ให้เหมาะสม และทำให้หัว Brush เป็นแบบเบาบาง (ดูวิธีได้ที่ Tip Photoshop ตามด้านล่างของเพจ) และกำหนดค่าสี Foreground และ Background เป็นสีดำขาว ตามภาพที่ 5 จากนั้นคลิกที่เลเยอร์ Photo Filter 2 และใช้หัว Brush ลบ Mask บริเวณที่เป็นน้ำและดอกไม้บริเวณข้างหน้าออกไป รวมทั้งบริเวณที่เป็นริมน้ำซึ่งอยากให้หญ้าดูเขียวสดขึ้นมาสักนิดเราก็ลบ Mask ออกไป จนได้ลักษณะตามภาพที่ 5

ขั้นตอนที่ 6 ปรับความคมชัดให้ภาพอีกซัีกนิด โดยคลิกที่เลเยอร์ Background จากนั้นเรียกใช้ Curves โดยใช้คำสั่ง Image --> Adjustments --> Curves แล้วปรับค่าเส้น Curves ตามภาพ 6
  
   
แค่นี้ก็เสร็จแล้วค่ะ เราก็จะได้ภาพใหม่ที่ผ่านการตกแต่งภาพด้วยโปรแกรม Photoshop ตามภาพสุดท้ายค่ะ ... บทความนี้ขอจบเท่านี้ก่อนค่ะ ขอออกไปทานข้าวเที่ยงก่อน เลยเวลาทานมาเยอะแล้ว แล้วติดตามอ่านบทความต่อ ๆ ไปด้วยนะค่ะ


Tip Photoshop
วิธีการปรับขนาดของหัว brush และ Stamp
คีย์ลัด เพิ่มให้ขนาดใหญ่ขึ้น กดปุม ]
คีย์ลัด ลดให้ขนาดเล็กลง กดปุม [
วิธีการปรับความบางเบาของหัว brush และ Stamp
คีย์ลัด เพิ่มให้หนาขึ้น กดปุม shift+]
คีย์ลัด ลดให้หนาลง กดปุม shift+[
  
วันที่บทความ : 11 ต.ค. 2552              ที่มา : Webmaster

การแต่งภาพเป็นแนวการ์ตูน

 ตกแต่งภาพถ่าย ให้กลายเป็นนภาพแนวการ์ตูน
 
บทความนี้ เราจะมาใช้โปรแกรม Photoshop เปลี่ยนภาพถ่ายธรรมดา ๆ ภาพหนึง ให้กลายเป็นภาพแนวการ์ตูน วิธีการทำก็ไม่ได้ยากค่ะ ใครสนใจคลิกกันเข้ามาดูเลยค่ะ
   
  
   
ขั้นตอนที่ 1 เปิดโปรแกรม Photoshop แล้วเปิดภาพที่ต้องการจะตกแต่งเข้ามาในโปรแกรมเลยค่ะ (รูปความกว้างประมาณ 500 px.) จากนั้นให้ทำการคัดลอก Layer โดยคลิกขวาที่ Layer Background แล้วเลือก Duplicate Layer หรือใช้คีย์ลัด Ctrl + J (เราจะตกแต่งภาพใน Layer บน เดียวจะได้มาเปรียบเทียบกับภาพ Layer ต้นฉบับ ว่าหลังตกแต่งภาพแล้วจะเปลี่ยนไปยังไงบ้าง)
  
   
ขั้นตอนที่ 2 คลิกที่ Layer ที่ได้ Copy ขึ้น (Layer ด้านบน) จากนั้นใช้คำสั่ง Filter --> Artistic --> Poster Edges จากนั้นปรับค่าต่าง ๆ ตามภาพที่ 2 (กรณีใช้งานจริงการปรับค่าขึ้นอยู่กับขนาดของภาพที่นำมาตกแต่ง ให้สังเกตรูปที่ไ้ด้จากการปรับค่าต่าง ๆ ปรับให้ออกมาให้พอมีเส้นขอบเด่นขึ้นมา แต่ไม่ต้องปรับจนเลอะมาก)
  
   
ขั้นตอนที่ 3 ใช้คำสั่ง Image --> Adjustments --> Brightness & Contrast จากนั้นปรับค่าความเข้มของสี และความสว่าง ของพื้นผิว ตามภาพที่ 3 (การใช้งานจริง ก็ปรับให้สีดูโอเค ไม่ขาวโพนมากไป หรือเข้มจนเกินไป)
  
   
ขั้นตอนที่ 4 ใช้คำสั่ง Filter --> Artistic --> Cutout แล้วปรับค่าต่าง ๆ ดังภาพที่ 4 (การใช้งานจริง ก็ปรับให้สีดูโอเคที่สุด ให้พื้นผิวของภาพยังคงมีรูปร่างเหมือนจริงไว้ให้มากที่สุด )

แค่นี้จริง ๆ ก็เสร็จแล้วค่ะ แต่ถ้าหากว่ารูปออกมาดูแข็ง และดูมืดเกินไป ก็อาจใช้คำสั่ง Image --> Adjustments --> Curves ช่วยปรับให้สว่างขึ้นได้ ดังตัวอย่างในภาพที่ 5
  
   
สุดท้ายเมื่อเราตกแต่งภาพเสร็จ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะได้รูปตามลักษณะภาพสุดท้ายนะค่ะ ก็ออกมาเป็นรูปการ์ตูน แบบภาพลายเส้น ... นอกจากได้ผลลัพธ์ตามที่เห็นแล้ว เราสามารถนำเอาเทคนิคในบทความนี้โดยเฉพาะคำสั่ง Filter --> Artistic --> Cutout จะช่วยในการแบ่งพื้นผิว ทำให้เกิดการแบ่งสีของภาพในแต่ละบริเวณ เช่น ส่วนเงา ส่วนที่โดนแสง ซึ่งจะสามารถมองเห็นได้ชัดเจนกว่าภาพปกติ ทำให้มีประโยชน์ในการดราฟรูป เพราะหากแสงเงาชัดเจนจะช่วยให้ดราฟรูปได้ง่ายขึ้น
  
วันที่บทความ : 11 ก.ย. 2552              ที่มา : Webmaster

12121


มวยไทย


มวยไทย
มวยไทย เป็น ศิลปะการต่อสู้จากประเทศไทย ที่ใช้หมัด ศอก แขนท่อนล่าง เท้า แข้ง เข่า ฝ่ามือ ฝ่าเท้า ศีรษะ และลำตัวในการต่อสู้ ศิลปะการต่อสู้ลักษณะนี้ สามารถพบเห็นได้หลายประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ยกตัวอย่างเช่นประเทศกัมพูชาเรียกว่า ประดั่ญเซเรีย (Pradal Serey) หรือขอมมวยส่วนประเทศลาวเรียก มวยลายลาว (มวยเสือลากหาง)
ปัจจุบัน ทางสหพันธ์มวยไทยสมัครเล่นนานาชาติ (IFMA) มีแผนการณ์ที่จะผลักดันกีฬามวยไทยเข้าสู่กีฬาโอลิมปิก[1][2] ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงเริ่มต้นของการผลักดันอย่างจริงจัง


อาจมีที่มาจาก คำว่า รำหมัดรำมวย ซึ่งเป็นชื่อเรียก การฝึกสมาธิเคลื่อนไหวเพื่อสร้างสุขภาพ ของ ชนเผ่าไท โดยมีลักษณะเด่นที่ การเคลื่อนไหวซึ่งมี การหมุนม้วนข้อมือและหมัด(พันหมัดพันมือ) และ การเคลื่อนที่ ที่มีจังหวะและการหมุนวนไปมา ซึ่งเป็นคำปรากฏ เรียกกันมาแต่โบราณ ตั้งแต่ก่อนตั้งอาณาจักรสุโขทัย และต่อมาในยุคต้นกรุงศรีอยุธยา(ราวปี พ.ศ. 1900) ปรากฏคำว่า ปล้ำมวย (การประลอง หรือซ้อมมวยเพื่อทดสอบฝีมือ เช่นเดียวกับ การปล้ำไก่) ตีมวย (การแข่งขันชกมวยเพื่อการพนันเอาแพ้ชนะ เช่นเดียวกับ คำว่า ตีไก่) หรืออาจมาจากลักษณะการประกอบการม้วนเชือกหรือผ้า เพื่อใช้หุ้มฝ่ามือและท่อนแขน เพื่อใช้ป้องกันอันตรายขณะต่อสู้ หรืออาจเพิ่มอันตรายในการ ชก กระแทกฟาดโดยการผสม กับ กาวแป้ง และ ผงทราย คล้ายลักษณะของ มวยผม ของ ผู้หญิงที่นิยมไว้ผมยาว (เกล้ามวย) ได้แก่ หญิงไทย/ลาวโซ่ง/หญิงล้านนาในสมัยโบราณ หรือนักมวยจีน (มุ่นผม) ซึ่งนิยมถักเป็นเปีย แล้วม้วนพันรอบคอของตนซึ่งสามารถใช้ในการต่อสู้ในบางครั้งความหมายของคำว่า"มวย" หรือ มาจากคำภาษาบาลี ว่า "มัลละ" หมายถึง การปล้ำรัด มวยปล้ำของชาวอินเดีย







มีการต่อสู้ในลักษณะเดียวกับ มวย ของ ชาวไทย มุสลิมในท้องถิ่นทาง ภาคใต้ ตลอดจนแหลม มลายู เรียกว่า ซีละ หรือ ปัญจสีลัต มีผู้บัญญัติศัพท์ว่า "มวยไทยพาหุยุทธ์" โดยเปรียบว่า เป็นการต่อสู้แบบรวมเอา ศิลปะการต่อสู้ (Martial Art) ทุกแขนง โดยใช้อวัยวะทุกส่วนร่วมด้วยได้แก่ การใช้ ศีรษะ คาง เพื่อชน กระแทก โขก ยี ใช้ท่อนแขน ฝ่ามือ และกำปั้น จับ ล็อก บล็อก บัง เหวี่ยง ฟัด ฟาด ปิด ปัด ป้อง ฟาด ผลัก ยัน ดัน ทุบ ชก ไล่แขน ศอก เฉือน ถอง กระทุ้ง พุ่ง เสย งัด ทั้งทำลายจังหวะเมื่อเสียเปรียบและหาโอกาสเข้ากระทำเมื่อได้เปรียบ
ส่วนขา แข้ง เข่า ฝ่าเท้า ส้นเท้า ปลายเท้า ใช้ในการบัง ถีบ เตะ แตะ เกี่ยว ตวัด ฉัด ช้อน ปัด กวาด ฟาด กระแทก ทำให้บอบช้ำและเสียหลักและใช้ลำตัวในการการทุ่มทับจับหัก (มีคณะนักมวยในอดีตคือ ค่าย ส.ยกฟัด ที่นิยมใช้กันมาก) การประกอบรวมแม่แบบชุดต่อสู้รวมเรียกว่า แม่ไม้ และลูกไม้ ตามเชิงมวย หรือกลมวย

ประวัติศาสตร์ของมวยไทย

ประวัติศาสตร์อันยาวนานของมวยไทยเริ่มมีและใช้กันในการสงครามในสมัยก่อน ในปัจจุบันมีการดัดแปลงมวยไทยมาใช้ในกองทัพโดยเรียกว่า "เลิศฤทธิ์" ซึ่งแตกต่างจากมวยไทยในปัจจุบันที่ใช้เป็นการกีฬา โดยมีการใช้นวมขึ้นเพื่อป้องกันการอันตรายที่เกิดขึ้น มวยไทยยังคงได้ชื่อว่า ศาสตร์การโจมตีทั้งแปด ซึ่งรวม สองมือ สองเท้า สองศอก และสองเข่า (บางตำราอาจเป็น นวอาวุธ ซึ่งรวมการใช้ศีรษะโจมตี หรือ ทศอาวุธ ซึ่งรวมการใช้บั้นท้ายกระแทกโจมตีด้วย)
มวยไทยสืบทอดมาจากมวยโบราณ ซึ่งแบ่งออกเป็นแต่ละสายตามท้องที่นั้น ๆ โดยมีสายสำคัญหลัก ๆ เช่น มวยท่าเสา (ภาคเหนือ) มวยโคราช (ภาคอีสาน) มวยไชยา (ภาคใต้) มวยลพบุรีและมวยพระนคร (ภาคกลาง) มีคำกล่าวไว้ว่า "หมัดดีโคราช ฉลาดลพบุรี ท่าดีไชยา"

การศึกษาศิลปะมวยไทย



มวยไทย
มีผู้กล่าวกันว่ามีตำนานเกี่ยวเนื่องกับพระนางจามเทวี ผู้สร้างเมืองลำพูน ว่า เมื่อประมาณ พ.ศ. 1200 มีพระฤๅษีนาม สุกกะทันตะฤๅษี ซึ่งเป็นสหายธรรม กับ ท่านสุเทวะฤๅษี เป็นพระอาจารย์ผู้สั่งสอน ธรรมวิทยา แล ศิลปศาสตร์ทั้งปวงอันควรแก่การศึกษาสำหรับขุนท้าวเจ้าพระยาทั้งหลาย โดยตั้งเป็นสำนักเรียนขึ้นที่ เขาสมอคอน แขวงเมืองลพบุรี(ลวะปุระ หรือ ละโว้ ) ในสรรพวิทยาทั้งหลายนั้น ประกอบด้วยวิชชาอันควรแก่ ชายชาตรี ที่เรียกว่า มัยศาสตร์ (มายาศาสตร์ หรือบ้างเรียกว่า วิชาชาตรี) อันได้แก่ วิชามวย วิชาดาบ วิชาธนู วิชาบังคับช้าง ม้า ซึ่งเป็นการฝึกฝนเพื่อให้เกิดความชำนาญในการต่อสู้ป้องกันตัวและศึกสงคราม ในสมัยโบราณจะมี สำนักเรียน (สำนักเรียนมวย แตกต่างจาก ค่ายมวย คือ สำนักเรียนจะมีเจ้าสำนัก หรือ ครูมวย ซึ่งมีฝีมือและชื่อเสียงเป็นที่เคารพรู้จัก มีความประสงค์ที่จะถ่ายทอดวิชาไม่ให้สูญหาย โดยมุ่งเน้นถ่ายทอดให้เฉพาะศิษย์ที่มีความเหมาะสม ส่วน ค่ายมวย เป็นที่รวมของผู้ที่ชื่นชอบในการชกมวย มีจุดประสงค์ที่จะแลกเปลี่ยนวิชาความรู้เพื่อนำไปใช้ในการแข่งขัน-ประลอง) โดยแยกเป็น สำนักหลวง และ สำนักราษฎร์ บ้างก็ฝึกเรียนร่วมกับเพลงดาบ กระบี่ กระบอง พลอง ทวน ง้าวและมีดหรือการต่อสู้อื่นๆ เพื่อใช้ในการต่อสู้ป้องกันตัวและใช้ในการสงคราม มีทั้งพระมหากษัตริย์และขุนนางแม่ทัพนายกองและชาวบ้านทั่วไป (ส่วนใหญ่เป็นชาย) และจะมีการแข่งขันต่อสู้-ประลองกันในงานวัด และงานเทศกาลโดยมีค่ายมวยและสำนักมวยต่างๆ ส่งนักมวยและครูมวยเข้าแข่งขันชิงรางวัล-เดิมพัน โดยยึดความเสมอภาค
บางครั้งจึงมีตำนานพระมหากษัตริย์หรือขุนนางที่เชี่ยวชาญการต่อสู้ปลอมตนเข้าร่วมแข่งขันเพื่อทดสอบฝีมือที่เป็นที่ปรากฏได้แก่ พระเจ้าเสือ (ขุนหลวงสรศักดิ์) พระเจ้าตากสินมหาราช พระยาพิชัยดาบหัก ครูดอก แขวงเมืองวิเศษไชยชาญ จนเมื่อไทยเสียกรุงแก่พม่า ปรากฏชื่อนายขนมต้ม ครูมวยชาวอยุธยา ซึ่งถูกกวาดต้อนเป็นเชลยศึกได้ชกมวยกับชาวพม่า ชนะหลายครั้งเป็นที่ปรากฏถึงความเก่งกาจเหี้ยมหาญของวิชามวยไทย ในสมัยอยุธยา ตอนปลายได้มีการจัดตั้งกรมทนายเลือกและกรมตำรวจหลวงขึ้นมีหน้าที่ในการให้การคุ้มครองกษัตริย์และราชวงศ์ ได้มีการฝึกหัดวิชาการต่อสู้ทั้งมวยไทยและมวยปล้ำตามแบบอย่างแขกเปอร์เซีย (อิหร่าน) จึงมีครูมวยไทยและนักมวยที่มีฝีมือเข้ารับราชการจำนวนมากและได้แสดงฝีมือในการต่อสู้ในราชสำนักและหน้าพระที่นั่งในงานเทศกาลต่างๆสืบต่อกันมาเป็นประจำ
กีฬามวยไทยได้รับความนิยมมากในสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ยุคที่นับว่าเฟื่องฟูที่สุดคือ รัชกาลที่ 5 พระองค์ได้ศึกษาฝึกฝนการชกมวยไทยและโปรดให้จัดการแข่งขันชกมวยหน้าพระที่นั่งโดยคัดเลือกนักมวยฝีมือดีจากภาคต่างๆ มาประลองแข่งขัน และพระราชทานแต่งตั้งให้มีบรรดาศักดิ์ ทั้งยังโปรดให้กรมศึกษาธิการ บรรจุการสอนมวยไทยเป็นวิชาบังคับ ในโรงเรียนฝึกหัดครูพลศึกษา มีการชกมวยถวายหน้าพระที่นั่งเป็นประจำจนถึงสมัย รัชกาลที่ 6 ที่วังสวนกุหลาบ ทั้งการต่อสู้ประลองระหว่างนักมวย กับครูมวยชาวไทยด้วยกัน และการต่อสู้ระหว่างนักมวย กับครูมวยต่างชาติ ในการแข่งขันชกมวยในสมัยรัชกาลที่ 6 ระหว่างมวยเลี่ยะผะ (กังฟู) ชาวจีนโพ้นทะเล ชื่อนายจี่ฉ่าง กับ นายยัง หาญทะเล ศิษย์เอกของ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ มีท่าจรดมวยแบบมวยโคราช ซึ่งเน้นการยืดตัวตั้งตระหง่านพร้อมที่จะรุกและรับโดยเน้นการใช้เท้าและหมัดเหวี่ยง และต่อมาได้เป็นแบบอย่างในการฝึกหัดมวยไทยในสถาบันพลศึกษาส่วนใหญ่ สมัย รัชกาลที่ 7 ในยุคแรกการแข่งขันมวยไทยใช้การพันมือด้วยเชือก จนกระทั่งนายแพ เลี้ยงประเสริฐ นักมวยจากท่าเสา จ.อุตรดิตถ์ ต่อยนายเจียร์ นักมวยเขมร ด้วยหมัดเหวี่ยงควายถึงแก่ความตาย จึงเปลี่ยนมาสวมนวมแทน ต่อมาเริ่มมีการกำหนดกติกาในการชก และมีเวทีมาตรฐานขึ้นแห่งแรกคือเวทีมวยลุมพินีและเวทีมวยราชดำเนินจัดแข่งขันมวยไทยมาจนปัจจุบัน
ต่อมา พ.ศ. 2554 กระทรวงวัฒนธรรม ได้มีมติให้กำหนดเอา วันที่ 6 กุมภาพันธ์ ของทุกปี ตั้งแต่ปี 2555 เป็น " วันมวยไทย " โดยถือเอา วันขึ้นครองราชย์ของพระเจ้าเสือ แต่มีผู้ศึกษาประวัติศาสตร์มวยไทย ให้ความเห็นว่ามวยไทย มีกำเนิดมาก่อนยุคสมัยพระเจ้าเสือนานมาก และหากจะยกให้คนที่มีฝีมือใน วิชามวยไทยและเป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไป ทั้งในแง่เกียรติประวัติและความสามารถ ควรยกย่อง พระยาพิชัยดาบหัก (นายทองดี ฟันขาว) มากที่สุด เพราะมีประวัติความเป็นมาชัดเจนในการศึกษาวิชามวยไทย สำหรับนายขนมต้ม ซึ่งเป็นครูมวยกรุงเก่าและถูกกวาดต้อนไปเป็นเชลยก่อนเสียกรุงครั้งที่ 2 ก็ถือว่าได้ใช้วิชามวยไทยแสดงให้ชาวต่างชาติเห็นได้น่ายกย่อง แต่ประวัติความเป็นมาของท่านไม่ชัดเจน แต่หากเห็นว่า ควรยกย่องพระมหากษัตริย์มากกว่าสามัญชน ก็น่าจะพิจารณา สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ซึ่งพระองค์ท่านมีชีวประวัติชัดเจนในความสามารถในวิชามวยและการต่อสู้หลายแขนง ทั้งมีพระมหากรุณาธิคุณที่ทรงกอบกู้เอกราชของชาติไทย ด้วยการรวบรวม ครูมวย นักมวย ที่มีฝีมือจำนวนมากเป็นหลักในกองกำลังกอบกู้อิสรภาพ

ครูมวยไทยที่มีชื่อเสียง

นักมวยไทยมีชื่อเสียง

ดูบทความหลักที่ นักมวยไทย
การชกมวยไทยที่ดี มีหลักสำคัญ คือ มีการป้องกัน ด้วยการยืน มั่นคง เข้มแข็ง สูงเด่น การตั้งแขนป้องกัน (การการ์ดมวย) และการเก็บคาง เปรียบเสมือนป้อมปราการ เท้าหน้า จรดชี้ไปข้างหน้าวางน้ำหนักครึ่งฝ่าเท้า เท้าหลัง วางทแยงเฉียงกว้างกว่าหัวไหล่วางน้ำหนักเศษหนึ่งส่วนสี่ไว้ที่อุ้งนิ้วหัวแม่โป้ง ขยับก้าวด้วยการลากเท้าหลังตามพร้อมที่จะหลอกล่อ ขยับเข้า ออก ตั้งรับและโจมตีตอบโต้ แขนหน้ายกกำขึ้นอย่างน้อยเสมอไหล่ หรือจรดสันแก้ม แขนหลังยกกำขึ้นจรดแก้ม ศอกทั้งสองข้างไม่กางออกและไม่แนบชิด ก้มหน้าเก็บคาง ตาเขม็งมองไปตรงหว่างอกของคู่ต้อสู้ พร้อมที่จะเห็นการเคลื่อนไหวทุกส่วน เพื่อที่จะรุก รับ หรือตอบโต้ด้วยแม่ไม้ ลูกไม้และการแจกลูกต่างๆ มีการเคลื่อนไหวที่องอาจมีจังหวะ มีการล่อหลอกและขู่ขวัญที่มีการเปรียบเทียบว่า "ประดุจพญาราชสีห์ และพญาคชสีห์" อาวุธมวยที่ออกไป ต้องมีเป้าหมายและจุดประสงค์แน่นอน (แต่มักซ้อนกลลวงไว้) มีการต่อสู้ระยะไกล (วงนอก) และระยะประชิด (วงใน) และมีทีเด็ดทีขาดในการพิชิตคู่ต่อสู้

สิ่งที่น่าสนใจ

สีของคู่ต่อสู้

·         ในปกติ มวยไทย ไม่ว่าจะในประเทศไทย เมียนมาร์ กัมพูชา ฯลฯ จะนิยมแยกสีมุมคู่ต่อสู้เป็น สี คือ มุมสีแดง และ มุมสีน้ำเงิน
·         แต่ในประเทศลาว จะแยกสีมุมคู่ต่อสู้เป็น สี คือ มุมสีแดง และ มุมสีฟ้า (แต่ในความจริงคือมุมสีน้ำเงินของลาวเอง)

การถ่ายทอดสดการแข่งขันทางโทรทัศน์

การถ่ายทอดสดการแข่งขันที่จัดประจำสัปดาห์ ส่วนมากจะออกอากาศในวันเสาร์ หรือ วันอาทิตย์ ยกตัวอย่างประเทศที่มีการถ่ายทอดประจำทางโทรทัศน์ดังนี้

วันอังคารที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2556

ม.ราม กำหนดวันซ้อมและรับปริญญาบัตรแล้ว

กำหนดวันซ้อมและพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยรามคำแหง


กำหนดวันซ้อมและพิธีพระราชทานปริญญาบัตร มหาวิทยาลัยรามคำแหง

          พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จฯแทนพระองค์ในการพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษาจากมหาวิทยาลัยรามคำแหง ประจำปีการศึกษา 2554 - 2555 ระหว่างวันที่ 4-8 มีนาคม 2556 (รวม 5 วัน) ทั้งช่วงเช้าและช่วงบ่าย ณ อาคารหอประชุมพ่อขุนรามคำแหงมหาราช
ในการนี้ มหาวิทยาลัยได้กำหนดการฝึกซ้อมของผู้เข้ารับปริญญาบัตร ดังนี้
         ฝึกซ้อมครั้งที่ 1 (ซ้อมย่อย) : วันที่ 18 - 22 กุมภาพันธ์ 2556 บัณฑิตรายงานตัวที่ลานจอดรถ อาคารสุโขทัย (SKB) ชั้น 2 และชั้น 3

            คาบเช้า รายงานตัวก่อนเวลา 06.00 น.
            คาบบ่าย รายงานตัวก่อนเวลา 11.00 น. (แต่งกายสุภาพ)

         ฝึกซ้อมครั้งที่ 2 (ซ้อมใหญ่) : วันที่ 25 กุมภาพันธ์ - 1 มีนาคม 2556 บัณฑิตรายงานตัวที่อาคารกงไกรลาศ (KLB) โดยขอให้บัณฑิต แต่งกายสวมครุยวิทยฐานะเหมือนวันพิธีฯ ผู้ไม่เข้ารับการฝึกซ้อมจะถือว่าสละสิทธิ์ในการเข้ารับพระราชทานปริญญาบัตร

            คาบเช้า ก่อนเวลา 05.00 น.
            คาบบ่าย ก่อนเวลา 09.00 น.
        ทั้งนี้ สามารถสอบรายละเอียดได้ที่คณะที่บัณฑิตสังกัด โทร. 0-2310-8000 ต่อคณะที่สังกัด และบัณฑิตวิทยาลัย โทร. 0-2310-8560-65, โครงการปรัชญาดุษฎีบัณฑิตฯ โทร. 0-2310-8566-7

การสร้างบล็อก

บทความนี้ผมเขียนขึ้นมาเพื่อมือใหม่ที่ต้องการทำบล็อกของ Blogger หรือที่เรียกว่า Blogspot แต่ไม่มีความรู้พื้นฐานเกี่ยวกับการทำบล็อกหรือเว็บไซต์มาก่อน ซึ่งส่วนใหญ่พอเข้ามาที่บล็อกนี้ ก็จะหลงทางจับต้นชนปลายยังไม่ถูกว่าควรจะเริ่มอ่านบทความไหนก่อนดี เป็นเพราะว่าตอนนี้บทความที่ผมเขียนมีจำนวนมากขึ้นเรื่อย ๆ ประมาณ 250 บทความแล้ว 

สร้างblog วิธี ทำบล็อก แต่งบล็อกของ blogger หรือ blogspot SEO Webdesign

เอาล่ะครับสมมติว่าตอนนี้คุณอยากจะทำบล็อกของ Blogger หรือที่เรียกว่า Blogspot ผมขอแนะนำให้คุณอ่านบทความในบล็อกนี้และทำ ตามลำดับขั้นตอนดังนี้

ขั้นที่ 1 ตั้งเป้าหมายและเลือก keyword ในการทำบล็อก
การเริ่มต้นครั้งแรกคุณควรจะวางเป้าหมายหรือจุดประสงค์ในการทำบล็อกให้ชัดเจน ว่าจะทำเป็นบล็อกส่วนตัว   บล็อกเพื่อการศึกษา  เพื่อความบันเทิง เฉพาะเรื่อง หรือเพื่อธุรกิจ

1.1 แนวทางการหา Keyword เพื่อทำบล็อก
สำหรับมือใหม่ ให้ใช้วิธีง่าย ๆ โดยให้คิดว่า ถ้าคุณจะค้นหาเรื่องราวที่เกี่ยวกับเรื่องที่คุณจะเขียน คุณจะค้นด้วยคำค้นใด?
สำหรับผู้ที่เคยทำบล็อกมาบ้างแล้ว ให้ศึกษาการทำ keyword research ที่บทความ แนวทางการทำ SEO Keyword research บน Blogger

1.2 ให้นำ Keyword นั้นมาตั้งเป็นชื่อของบล็อก
เช่น ผมเขียนบล็อกเรื่องราวเกี่ยวกับแฟชั่น อาจจะใช้ keyword หรือวลีที่นำมาตั้งชื่อบล็อกเป็น sexyfasion
ซึ่งถ้าตั้งชื่อบล็อกก็จะได้เป็น
http://sexyfasion.blogspot.com
ซึ่งจะดีกับผลการค้นหามากกว่าใช้เครื่องหมาย dash คั่น เช่น
http://sexy-fasion.blogspot.com


ขั้นที่ 2 ลงทะเบียนใช้ Blogger โดยอ่านขั้นตอนได้จากบทความ
2.1 เริ่มต้นทำ blog ง่ายนิดเดียว


ขั้นที่ 3 เลือกแม่แบบ ซึ่งเลือกได้ 3 วิธีคือ
3.1 เลือกจากแม่แบบที่ blogger มีอยู่แล้ว
3.2 เลือกดาวน์โหลดที่แจกฟรี และเอามาแทนที่แม่แบบเดิม >> วิธีเปลี่ยน Templates ของ Blogger
3.3 ออกแบบด้วยตนเอง >> เครื่องมือสำหรับ “ออกแบบแม่แบบ” ด้วยตนเอง ใหม่! จาก blogger
3.4 31Blogger Templates สวยแบบเรียบหรู


ขั้นที่ 4 ลงมือเขียนบทความ ซึ่งควรอ่านจาก 2 บทความนี้
4.1 วิธีเขียนและจัดการบทความในบล็อก(แบบพื้นฐาน)
4.2 เขียนบทความลง blogger ผ่านโปรแกรม Windows Live Writer
4.3 วิธีทำให้บทความที่ต้องการอยู่หน้าแรกเสมอ


ขั้นที่ 5 เรียนรู้ตั้งค่าพื้นฐานต่าง ๆ ให้กับบล็อก ศึกษาได้จากบทความต่อไปนี้
5.1 การตั้งค่าพื้นฐานต่างๆ ให้กับบล็อก
5.2 รู้จักและใช้งาน Gadget ชนิดต่าง ๆ บน Blogger
5.3 การจัดการกับ Gadget ในหน้าบล็อก
5.4 วิธีการติดตั้ง Gadget บน blogger และการใช้งาน Gadget BlogArchive
5.5 การจัดหมวดหมู่ให้กับบทความด้วย Label Gadget
5.6 การแสดงข่าวสารล่าสุดด้วย Gadget ฟีด
5.7 วิธีใช้และตัวอย่างการใช้งาน Gadget หน้าเว็บ


ขั้นที่ 6 ความรู้และเครื่องมือพื้นฐานก่อนที่จะทำการปรับแต่งบล็อก
6.1 10 เครื่องมือพื้นฐานที่ชาว Blogger ควรมี
6.2 วิธี Backup template ใน Blogger
6.3 เปลี่ยน Templates แล้วจะใส่ Link ให้ Menu อย่างไร ?
6.4 รู้จักกับโครงร่างของโค้ด Template ใน Blogger
6.5 วิธีเปลี่ยน background ของ blogger
6.6 วิธีย้าย Blogger จากบัญชีผู้ใช้หนึ่งไปสู่บัญชีผู้ใช้อื่น
6.7 วิธีใช้งาน Firebug ช่วยปรับแต่ง Blogger Layout (ฝึกใช้งานภายหลังได้)


ขั้นที่ 7 ลงทะเบียน Feed กับ Feedburner
7.1 ทำความรู้จักกับ Feed ใน Blogger
7.2 FeedBurner ตัวช่วยให้ Feed แรง!!!


ขั้นที่ 8 ทำ SEO Onpage
8.1 ศัพท์ SEO ที่ Blogger ทุกคนควรรู้จัก 
8.2 รู้จักกับ meta tag และติดตั้งลงใน blogger
8.3 Trick การใส่ meta tag ให้กับบทความที่ต้องการ
8.4 วิธีการปรับแต่ง SEO Onpage บน Blogger ให้สมบูรณ์แบบ
8.5 วิธีทำให้ URL ของบทความใน Blogger เป็นมิตรกับ SEO


ขั้นที่ 9 ทำ SEO Offpage
9.1 Roadmap การทำ SEO สำหรับ Blogger
9.1 การโปรโมทบล็อกตอนที่ 1 : วิธี Submit sitemap สำหรับ Blogger
9.2 การโปรโมทบล็อกตอนที่ 2 : การ Submit Feed และ Ping
9.3 การโปรโมทบล็อกตอนที่ 3 : การเข้าร่วมชุมชนคนทำบล็อก
9.4 การโปรโมทบล็อกตอนที่ 4: การ Submit blog กับ Social Bookmark
9.5 วิธีสมัครเข้าร่วม Networkedblogs บน Facebook
9.6 Link Wheel Project for Blogger


ขั้นที่ 10 ติดตัวนับสถิติคนเยี่ยมชมบล็อก
10.1 ข่าว ดี!!! Blogger ติดตั้งเครื่องมือวิเคราะห์สถิติแล้ว
10.2 Gadget นับสถิติคนเข้าชมบล็อกด้วย Histats
10.3 นับจำนวนคน เยี่ยมชมด้วย Flagcounter


ขั้นที่ 11 บทความแนะนำ
นอกเหนือจากบทความที่ได้กล่าวไปแล้ว บทความต่อไปนี้เป็นบทความที่ได้รับความนิยม และเป็นบทความที่ผมขอแนะนำดังนี้
11.1  AutoMatic ReadMore for Blogger
11.2  วิธีแสดง Recent Post with thumbnail บน Blogger
11.3  วิธีแสดง Poppular Post บน Blogger
11.4  วิธีแสดง Random Post บน Blogger
11.5  วิธีแสดง Recent Comments บน Blogger
11.6  วิธีเปลี่ยนรูปแบบ Blog Archive ให้เป็นปฏิทินสวยๆ
11.7  2 วิธีปรับความกว้าง Template ของ Blogger
11.8  วิธีสร้าง Facebook Fan box (Like Box) บน blogger
11.9  วิธีนำ Facebook Social Plugins มาติดตั้งบน Blogger
11.10 วิธีส่ง Feed บทความจาก blogger ไปยัง Twitter และ Facebook โดยอัตโนมัติ
11.11 Page Navigation ใส่เลขกำกับหน้าบล็อก(V.2)
11.12 วิธีใส่ Social bookmark icon สวยๆ ใต้ทุกบทความ
11.13 Beautiful jQuery Slider on Blogger
11.14 ตารางสารบัญรูปแบบใหม่บน blogger สวยงามและซ่อน/แสดงได้
11.15 Seoquake Firefox Addon เครื่องมือสำคัญในการทำ SEO